โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นออนไลน์ เรื่องใกล้ตัวที่ป้องกันได้
ในยุคที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงคนจากทั่วโลกเข้าหากันได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยเริ่มเรียนรู้ และสำรวจเรื่องเพศผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการคุยแชต การใช้แอปหาคู่ หรือการรับชมสื่อลามก อย่างไรก็ตาม ความสะดวกเหล่านี้ก็อาจมาพร้อมกับ ความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่แฝงตัวอยู่แบบไม่ทันตั้งตัว

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์คืออะไร?
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) คือ กลุ่มของโรคที่สามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ ออรัลเซ็กซ์ หรือแม้แต่การสัมผัสสารคัดหลั่ง โดยโรคเหล่านี้อาจไม่แสดงอาการในช่วงแรก ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า ไม่มีอาการ แปลว่าไม่ติด
ตัวอย่างโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบได้ในวัยรุ่น ได้แก่
- เอชไอวี (HIV)
- ซิฟิลิส
- หนองใน
- หนองในเทียม
- เริมอวัยวะเพศ
- หูดหงอนไก่ (HPV)
- ไวรัสตับอักเสบบี
วัยรุ่นออนไลน์เสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่างไร?
ในยุคที่โลกออนไลน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน วัยรุ่นสามารถเรียนรู้เรื่องเพศ ติดต่อสื่อสาร และนัดพบกันได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส แม้เทคโนโลยีจะไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาโดยตรง แต่ พฤติกรรมเสี่ยงที่เกิดขึ้นในบริบทของโลกออนไลน์ กลับเพิ่มโอกาสในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประเด็นหลัก ๆ ได้ดังนี้
นัดเจอผ่านแอปฯ โดยไม่รู้จักตัวตนจริงของอีกฝ่าย
แอปพลิเคชันหาคู่ เช่น Grindr, Tinder, Hornet, หรือแม้แต่ Facebook, IG ได้กลายเป็นช่องทางที่วัยรุ่นใช้ในการนัดเจอเพื่อพูดคุย คบหาดูใจ หรือแม้กระทั่งมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัด
การรู้จักกันเร็ว ตัดสินใจไว โดยไม่ถามประวัติทางเพศ หรือสถานะการตรวจสุขภาพของอีกฝ่าย นำไปสู่ความเสี่ยงที่สูงมาก โดยเฉพาะเมื่อไม่มีการป้องกัน เช่น ไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีพฤติกรรมสอดใส่โดยตรง
นอกจากนี้ แอปเหล่านี้ยังเอื้อต่อการ มีคู่นอนหลายคนแบบไม่ตั้งใจ เพราะความง่ายในการหาคู่ ส่งผลให้ความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์แบบสุ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขาดความรู้เรื่องถุงยาง และการป้องกัน
แม้วัยรุ่นจำนวนมากจะเคยเรียนสุขศึกษา แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่า
- ไม่รู้วิธีเลือกขนาดหรือชนิดของถุงยางให้เหมาะสม
- ไม่รู้ว่า ออรัลเซ็กซ์ และเซ็กซ์ทางทวารหนัก ก็สามารถแพร่เชื้อ STI ได้เช่นกัน
- ไม่เข้าใจการใช้สารหล่อลื่นร่วมกับถุงยาง เพื่อลดโอกาสการฉีกขาด
วัยรุ่นบางคนยังเชื่อว่า การใช้ถุงยางเป็นเรื่องน่าอาย หรืออาจทำให้ดูไม่เชื่อใจกัน จึงเลือกที่จะไม่ใช้เลย ซึ่งความเข้าใจผิดเหล่านี้คือช่องว่างสำคัญที่ทำให้โรคแพร่กระจายได้ง่าย
ความเชื่อผิด ๆ จากสื่อลามกออนไลน์
วัยรุ่นจำนวนไม่น้อย เรียนรู้เรื่องเพศครั้งแรกผ่านสื่อลามก (Pornography) ซึ่งมักเน้นที่ความเร้าใจมากกว่าความปลอดภัย และไม่สะท้อนความจริงทางชีววิทยา หรือการป้องกันโรค
ตัวอย่างความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อย เช่น
- คิดว่าคนที่ดูสะอาด หรือ “ไม่ใช่สายเปย์” ไม่น่าจะติดโรค
- คิดว่า “แค่ครั้งเดียว” หรือ “ไม่หลั่งข้างใน” คงไม่เสี่ยง
- คิดว่าแค่ล้างอวัยวะเพศก่อนมีเซ็กซ์ก็ปลอดภัยแล้ว
เมื่อความเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้คลาดเคลื่อน ก็ทำให้การตัดสินใจของวัยรุ่นในสถานการณ์จริงมีความเสี่ยงมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ไม่กล้าพูดคุยเรื่องเพศกับพ่อแม่หรือผู้ใหญ่
ในหลายครอบครัวยังคงมองว่า เรื่องเพศเป็นเรื่องต้องห้าม หรือเรื่องน่าอาย ทำให้วัยรุ่นไม่กล้าพูดคุย ขอคำแนะนำ หรือแม้แต่บอกเล่าความสงสัยของตนเองอย่างเปิดเผย
ผลลัพธ์ที่ตามมา ได้แก่
- ขาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง
- ใช้แหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น กระทู้ในฟอรั่ม หรือคลิปบนโซเชียล
- ไม่กล้าไปตรวจหาโรค แม้จะมีอาการผิดปกติ
นอกจากนี้ การไม่สามารถพูดคุยเรื่องเพศอย่างเปิดเผย ยังทำให้วัยรุ่น เผชิญกับความเสี่ยงคนเดียว และพลาดโอกาสรับการช่วยเหลือในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด

อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ควรระวัง
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มักมีอาการหลากหลาย ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ พฤติกรรมทางเพศ และร่างกายของแต่ละบุคคล โดยบางโรคแสดงอาการอย่างชัดเจน ขณะที่บางโรคอาจไม่แสดงอาการเลย แต่ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ ดังนั้น การสังเกตความผิดปกติของร่างกาย และตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- แสบ หรือเจ็บเวลาปัสสาวะ
- เป็นอาการที่พบได้บ่อยในโรค หนองใน (Gonorrhea) และ หนองในเทียม (Chlamydia) โดยเกิดจากการติดเชื้อในท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดการอักเสบ และระคายเคือง
- ผู้ชายอาจรู้สึกแสบทุกครั้งที่ปัสสาวะ ส่วนผู้หญิงอาจมีอาการร่วมกับตกขาวผิดปกติ และปัสสาวะบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีตุ่ม แผล หรือผื่นบริเวณอวัยวะเพศ เป็นสัญญาณที่อาจเกี่ยวข้องกับหลายโรค เช่น
- เริมอวัยวะเพศ (Genital Herpes): มักมีตุ่มใสหรือแผลเจ็บ
- ซิฟิลิส (Syphilis): แผลมักไม่เจ็บ แต่จะเป็น “แผลริมแข็ง” ที่หายเองได้ ทำให้หลายคนไม่ทันสังเกต
- แผลริมอ่อน (Chancroid): แผลเจ็บ มีหนอง และมักเกิดร่วมกับต่อมน้ำเหลืองโต
- อย่ามองข้ามแม้จะเป็นแค่ “ตุ่มเล็ก ๆ” เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคสำคัญ
- ตกขาว หรือของเหลวผิดปกติ ผู้หญิงอาจสังเกตได้ว่ามีตกขาวที่มีกลิ่นเหม็น สีเขียว เหลือง หรือข้นกว่าปกติ ส่วนผู้ชายอาจมีของเหลวไหลจากปลายอวัยวะเพศ อาการนี้เกี่ยวข้องกับ:
- หนองใน
- หนองในเทียม
- พยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis)
- เชื้อยีสต์หรือเชื้อราในช่องคลอด (แม้ไม่ใช่ STI โดยตรง แต่เกิดขึ้นร่วมได้)
- เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ อาการเจ็บหรือไม่สบายระหว่างหรือหลังมีเพศสัมพันธ์ อาจมาจากการอักเสบของช่องคลอด ปากมดลูก หรือทวารหนัก ซึ่งอาจเกิดจาก
- การติดเชื้อแบคทีเรีย
- การอักเสบเรื้อรังจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ภาวะช่องคลอดแห้ง หรือการแพ้ถุงยางอนามัย
- หากเกิดอาการเจ็บซ้ำ ๆ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และรักษาอย่างเหมาะสม
- มีไข้ เหนื่อยล้าโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นอาการทั่วไปที่หลายคนอาจมองข้าม แต่ถ้าเกิดร่วมกับอาการอื่น เช่น ต่อมน้ำเหลืองโต น้ำหนักลด หรือปวดเมื่อย อาจเป็นสัญญาณของ
- การติดเชื้อเอชไอวี ระยะเริ่มต้น
- ซิฟิลิสระยะที่สอง ซึ่งมักมีผื่นตามตัวร่วมด้วย
- โรคตับจากไวรัสตับอักเสบบี/ซี
- หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน แล้วรู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ ควรพิจารณาตรวจเลือดเพื่อความแน่ใจ
- ไม่มีอาการเลย แต่แพร่เชื้อได้ นี่คือ กับดักเงียบของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะผู้ติดเชื้อจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่ม Chlamydia, HPV และแม้แต่ การติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรก จะไม่มีอาการใด ๆ เลย
- ผู้ชายมักไม่มีอาการจนกว่าเชื้อจะแพร่ลึกไปยังต่อมลูกหมาก
- ผู้หญิงอาจไม่รู้ตัวจนกระทั่งเกิดภาวะมีบุตรยากหรือปวดเชิงกรานเรื้อรัง
- ดังนั้น การ ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ แม้ไม่มีอาการ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว
วิธีป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับวัยรุ่นยุคออนไลน์
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ถุงยางเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกัน STIs ควรพกติดตัวไว้เสมอ และเรียนรู้วิธีใช้ให้ถูกต้อง
- อย่าเชื่อทุกอย่างจากอินเทอร์เน็ต เลือกอ่านข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข, องค์การอนามัยโลก หรือแพลตฟอร์มให้ความรู้เรื่องเพศ
- ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ แม้จะไม่มีอาการ แต่การตรวจหาเชื้อเอชไอวี และ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทุก 3-6 เดือน โดยเฉพาะหากมีคู่นอนหลายคนหรือไม่ใช้ถุงยาง คือสิ่งที่ควรทำ
- พูดคุยอย่างเปิดใจ หากมีแฟน หรือคู่นอน ควรพูดคุยกันเรื่องสุขภาพทางเพศก่อนมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง เช่น เคยตรวจล่าสุดเมื่อไหร่ เคยใช้ PrEP หรือไม่
- หากเสี่ยงแล้ว อย่ารอช้า ถ้าคิดว่าอาจเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับ PEP (ยาต้านฉุกเฉิน) ภายใน 72 ชั่วโมง หรือวางแผนใช้ PrEP หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางเป็นประจำ
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- Doxy-PEP จำเป็นแค่ไหนสำหรับกลุ่มเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?
- ยา เพร็พ การป้องกันเอชไอวีที่คุณต้องรู้
โลกออนไลน์อาจทำให้การพบเจอคนใหม่ง่ายขึ้น แต่ก็ทำให้ความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แฝงตัวอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด การเข้าใจวิธีป้องกัน ตรวจสุขภาพเป็นประจำ และพูดคุยเรื่องเพศอย่างไม่อาย คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้วัยรุ่นยุคดิจิทัลเติบโตอย่างปลอดภัย และมีความสุขกับชีวิตทางเพศของตัวเอง
เอกสารอ้างอิง
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC).
Sexually Transmitted Infections: STIs. ข้อมูลโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาการและการป้องกัน [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/std/default.htm - World Health Organization (WHO).
Adolescent sexual and reproductive health. ข้อมูลสุขภาพทางเพศของวัยรุ่นและการป้องกันโรค [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/health-topics/adolescent-health#tab=tab_2 - UNAIDS. Addressing the needs of adolescents living with and most affected by HIV. แนวทางดูแลวัยรุ่นกับปัจจัยเสี่ยงทางเพศ [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/resources/documents/2021/2021-young-key-populations
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). วัยรุ่นไทยกับการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://resource.thaihealth.or.th/library/วารสาร-วัยรุ่นกับเพศศึกษา/
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: คู่มือให้ความรู้ประชาชน. ฉบับเผยแพร่ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคและการป้องกัน [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/uploads/publish/20200124143932.pdf