ตุ่มขึ้นอวัยวะเพศ อันตรายไหม? รวมโรคที่ควรระวัง
การพบตุ่มขึ้นอวัยวะเพศ เป็นหนึ่งในอาการที่ทำให้หลายคนตกใจ และกังวลใจทันที หลายครั้งผู้ที่มีอาการนี้อาจไม่กล้าไปพบแพทย์เพราะความอาย หรือคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่หายได้เอง แต่ความจริงแล้ว ตุ่มขึ้นบริเวณอวัยวะเพศอาจเป็นเพียงการระคายเคืองเล็กน้อย หรืออาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคผิวหนังบางชนิดที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง
เราจะมาทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่อาจทำให้เกิดตุ่มบริเวณอวัยวะเพศ อาการที่ควรสังเกต รวมไปถึงโรคที่ควรระวัง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถป้องกัน และดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างมั่นใจ

สาเหตุทั่วไปของตุ่มขึ้นอวัยวะเพศที่ไม่รุนแรง
ก่อนจะไปถึงโรคอันตราย ควรทำความเข้าใจก่อนว่า ตุ่ม ไม่ได้หมายถึงโรคร้ายแรงเสมอไป มีหลายสาเหตุที่เกิดจากการระคายเคืองหรือปัจจัยภายนอก เช่น
- ขนคุด: เกิดจากเส้นขนงอกย้อนกลับเข้าไปในผิวหนัง ทำให้เกิดตุ่มแดงเล็ก ๆ เจ็บหรือคัน
- การแพ้หรือระคายเคือง: สบู่ แป้ง โลชั่น หรือน้ำยาซักผ้าที่แรงเกินไป อาจทำให้เกิดผื่นหรือตุ่มแดงบริเวณอวัยวะเพศ
- สิวหรือการอุดตันของรูขุมขน: โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวมันหรือนุ่งกางเกงรัดแน่น
- ต่อมไขมันโต (Fordyce spots): จุดหรือตุ่มขนาดเล็กสีขาวหรือเหลืองที่ไม่เป็นอันตราย
แม้สาเหตุเหล่านี้ไม่อันตราย แต่ถ้าตุ่มมีลักษณะผิดปกติ หรืออาการไม่หายภายในไม่กี่วัน ก็ควรตรวจเพิ่มเติม
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจทำให้เกิดตุ่ม
- เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes)
- เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex virus (HSV-1/HSV-2)
- ลักษณะอาการ: มีตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ เจ็บแสบ บริเวณอวัยวะเพศหรือรอบทวารหนัก ตุ่มแตกกลายเป็นแผล
- มักกำเริบซ้ำเมื่อร่างกายอ่อนแอหรือเครียด
- หูดหงอนไก่ (Genital Warts)
- เกิดจากเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus)
- อาการ: มีตุ่มหรือปุ่มนูนเล็ก ๆ คล้ายดอกกะหล่ำ บริเวณอวัยวะเพศ อาจรวมตัวกันเป็นปื้น
- เป็นโรคที่ต้องรักษา และเฝ้าระวัง เนื่องจากบางสายพันธุ์ของ HPV เกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งทวารหนัก
- ซิฟิลิส (Syphilis)
- เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum
- อาการระยะแรก: แผลหรือตุ่มแข็ง ๆ ไม่เจ็บ บริเวณอวัยวะเพศ ต่อมาแผลจะหายไปเอง ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าหายแล้ว ทั้งที่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย
- หากไม่รักษาจะลุกลามเป็นอันตรายต่อหัวใจ สมอง และระบบประสาท
- หนองในแท้ และหนองในเทียม (Gonorrhea & Chlamydia)
- อาจไม่แสดงอาการเป็นตุ่มเสมอไป แต่บางครั้งทำให้เกิดการอักเสบ ผื่นแดง หรือแผลเล็ก ๆ รอบอวัยวะเพศ
- มักมีอาการร่วม เช่น ปัสสาวะแสบขัด ตกขาวผิดปกติ
โรคผิวหนัง และการติดเชื้ออื่น ๆ
นอกจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยังมีโรคผิวหนัง และการติดเชื้ออื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดตุ่มที่อวัยวะเพศ ได้แก่
- เชื้อรา (Candidiasis): ทำให้เกิดผื่นแดง คัน และอาจมีตุ่มเล็ก ๆ
- หิด (Scabies): เกิดตุ่มคันเล็ก ๆ กระจายตามร่างกายรวมถึงอวัยวะเพศ
- เพิร์ลเพนิสปาปูลส์ (PPP): ตุ่มเล็ก ๆ รอบหัวอวัยวะเพศชาย เป็นภาวะปกติไม่ใช่โรคติดต่อ
อาการที่ควรระวัง และควรรีบพบแพทย์
ไม่ใช่ทุกตุ่มจะอันตราย แต่ สัญญาณเตือนต่อไปนี้ บอกว่าควรเข้ารับการตรวจอย่างมืออาชีพโดยเร็ว
- ตุ่มเจ็บ แสบ หรือมีหนอง อาการปวด/แสบมักสัมพันธ์กับการอักเสบติดเชื้อ เช่น เริม (ตุ่มน้ำใสแตกเจ็บ), หูดข้าวสุกที่ติดเชื้อซ้ำ, สิวอักเสบ/รูขุมขนอักเสบจากการเสียดสี หรือการติดเชื้อแบคทีเรียร่วม (เกิดหนอง สีเหลือง–เขียว มีกลิ่นผิดปกติ) หากปล่อยไว้เสี่ยงลุกลามเป็นฝี ต้องระบายหนอง/ใช้ยาปฏิชีวนะภายใต้การดูแลแพทย์
- ตุ่มแตกกลายเป็นแผลเรื้อรัง แผลที่ไม่หายใน 1–2 สัปดาห์หรือกลับมาเป็นซ้ำ อาจเข้ากับเริม ซิฟิลิสระยะแรก (แผลริมแข็งไม่ค่อยเจ็บ), การติดเชื้อรา/แบคทีเรียร่วม หรือภาวะระคายเคืองเรื้อรังจากสารเคมี/การเกา ควรตรวจหาสาเหตุเพื่อให้การรักษาตรงจุด และตัดวงจรการเป็นซ้ำ
- มีไข้ ปวดเมื่อย หรือมีต่อมน้ำเหลืองโต เป็นอาการระบบ บอกว่าร่างกายกำลังสู้การอักเสบติดเชื้อ อาจพบต่อมน้ำเหลืองขาหนีบโต กดเจ็บร่วมกับตุ่มหรือแผลบริเวณอวัยวะเพศ ต้องประเมินหาต้นเหตุ (เริม, ซิฟิลิส, หนองใน, เชื้อแบคทีเรียผิวหนัง ฯลฯ)
- มีตกขาวผิดปกติ หรือปัสสาวะแสบขัด ตกขาวเปลี่ยนสี/กลิ่น/ปริมาณ หรือคัน/แสบขณะปัสสาวะ อาจสัมพันธ์กับหนองในแท้–เทียม เชื้อราในช่องคลอด ช่องทางปัสสาวะอักเสบ หรือการแพ้สารเคมี ต้องตรวจแยกชนิดเชื้อเพราะแนวทางรักษาต่างกัน
- ตุ่มไม่หายภายใน 1–2 สัปดาห์ ระยะเวลานี้เพียงพอให้ภาวะระคายเคืองเล็กน้อยหายเอง หากยังคงอยู่ (หรือขนาดเพิ่ม จำนวนเพิ่ม สี/รูปร่างเปลี่ยน) ควรพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยันสาเหตุ
ควรไปฉุกเฉินทันที หากมีอาการปวดบวมรุนแรง กระจายเร็ว มีไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะลำบากมาก มีเลือดออกมากผิดปกติ หรือสงสัยตั้งครรภ์ร่วมด้วย
วิธีการวินิจฉัย
- แพทย์จะเริ่มจาก ซักประวัติ–ตรวจร่างกายเฉพาะที่ แล้วเลือกตรวจเพิ่มเติมให้ตรงโรค ตรงเชื้อ
- การตรวจร่างกายเฉพาะที่ ดูลักษณะตุ่ม (น้ำใส/หนอง/นูนแข็ง/ผิวขรุขระ/บุ๋มกลาง), ตำแหน่ง (ผิวหนัง–เยื่อบุ), จำนวน, ความเจ็บ, ต่อมน้ำเหลือง และโรคร่วม (ผื่นที่อวัยวะอื่น ผื่นฝ่ามือ/ฝ่าเท้า ฯลฯ)
- การเก็บตัวอย่างจากรอยโรค
- ป้ายแผล/ขูดผิว (swab/scraping) ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- PCR/NAAT ตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อ (เช่น HSV สำหรับเริม, HPV บางกรณี, Chlamydia/Gonorrhoeae จากท่อปัสสาวะ/ปากมดลูก/ทวารหนักตามพฤติกรรมเสี่ยง)
- ส่องกล้องผิวหนัง/ขยายภาพ ช่วยแยกหูดหงอนไก่, ต่อมไขมัน, PPP ฯลฯ
- ตรวจเชื้อรา (KOH preparation/เพาะเชื้อ) หากสงสัยเชื้อรา
- การตรวจเลือด
- ซิฟิลิส: ตรวจคัดกรองด้วย VDRL/RPR และยืนยันด้วย TPHA/TPPA
- เอชไอวี: ตรวจคัดกรองแบบ Ag/Ab (4th gen) ตามwindow period ; หากผลรีแอกทีฟต้องยืนยัน
- ค่าอักเสบทั่วไป (ในบางเคส) หากมีอาการระบบเด่น
- การตรวจสารคัดหลั่ง
- ตรวจตกขาว/สารคัดหลั่งท่อปัสสาวะ/ปากมดลูกเพื่อหาเชื้อแบคทีเรีย–โปรโตซัว (เช่น Trichomonas) และประเมิน pH เซลล์เยื่อบุ
- การตรวจอื่น ๆ ตามดุลยพินิจ
- ผ่าตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เมื่อรอยโรคไม่ชัดเจน เรื้อรัง หรือจำเป็นต้องแยกโรคผิวหนังเฉพาะทาง
- ตรวจคัดกรองโรคร่วม (เช่น HIV/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ) ตามความเสี่ยง เพื่อดูแลแบบองค์รวม
- จุดสำคัญ คือ ตรวจให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกวิธี—การเลือกชนิดการตรวจขึ้นกับลักษณะรอยโรค และช่วงเวลาเสี่ยงล่าสุด

แนวทางการรักษาเบื้องต้น
หลักการใหญ่ คือ รักษาตามสาเหตุ + ดูแลตนเอง + ป้องกันแพร่เชื้อ/เป็นซ้ำ
- เริมที่อวัยวะเพศ (HSV) ใช้ ยาต้านไวรัส ตามดุลยพินิจแพทย์ (ทั้งแบบช่วงกำเริบ และแบบกดไวรัสในรายที่เป็นซ้ำบ่อย) ร่วมกับการดูแลแผลให้แห้ง สวมเสื้อผ้าระบายอากาศ ลดเสียดสี งดเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหาย
- หูดหงอนไก่ (HPV) มีหลายวิธี: ยาทาเฉพาะที่ (เช่น ตามแนวทางที่แพทย์เห็นเหมาะสม), จี้ไฟฟ้า/ความเย็น/เลเซอร์ เลือกตามตำแหน่ง–ขนาด–จำนวนหูด ต้องติดตามผล เพราะอาจกลับมาเป็นซ้ำได้
- ซิฟิลิส / หนองในแท้–เทียม ให้ ยาปฏิชีวนะ ตามแนวทางมาตรฐาน (ชนิด/ขนาด/ช่วงเวลาขึ้นกับระยะโรค และการแพ้ยา) ควรตรวจ และรักษาคู่สัมพันธ์พร้อมกัน ลดการติดซ้ำ
- เชื้อรา ใช้ ยาทาหรือยารับประทานต้านเชื้อรา ตามความรุนแรง พร้อมปรับพฤติกรรม (ลดชื้น/เสียดสี/น้ำยาที่ระคายเคือง) และคุมโรคร่วม (เช่น น้ำตาลสูง)
- ฝี/รูขุมขนอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์อาจพิจารณา ยาปฏิชีวนะ และ/หรือ ระบายหนอง ห้ามบีบเองเพราะเสี่ยงลุกลาม
- รอยโรคไม่ติดเชื้อ (เช่น ต่อมไขมันโต, PPP, ขนคุด) ส่วนใหญ่ไม่ต้องรักษาเฉพาะทาง ยกเว้นกวนใจ/ผิดปกติ แพทย์จะประเมินเป็นราย ๆ ไป
การดูแลตนเองร่วม
- ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน ซับให้แห้ง หลีกเลี่ยงครีม–สเปรย์–น้ำหอม–แป้งที่ระคายเคือง
- งดโกน/แว็กซ์บริเวณที่อักเสบจนกว่าจะหาย
- งดเพศสัมพันธ์/ใช้ถุงยางสม่ำเสมอจนแผลปิดสนิท
- อย่าซื้อยาสเตียรอยด์ทาเองบริเวณอวัยวะเพศ (เสี่ยงเชื้อกำเริบ/ผิวบาง)
- กลับมาตรวจตามนัด และแจ้งอาการผิดปกติทันที
สำคัญ: ห้ามใช้ยาปฏิชีวนะ/ยาต้านไวรัสเองโดยไม่มีคำแนะนำ เพราะอาจทำให้วินิจฉัยคลาดเคลื่อน–ดื้อยา
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดตุ่มที่อวัยวะเพศ
การป้องกันที่ดีช่วยลดทั้ง ตุ่มจากการระคายเคือง และตุ่มจากการติดเชื้อ
- รักษาความสะอาดอวัยวะเพศทุกวัน ล้างด้วยน้ำสะอาด/ผลิตภัณฑ์อ่อนโยน pH ใกล้เคียงผิว กึ่งแห้งกึ่งชื้นพอดี เลี่ยงการถูแรง
- หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง สบู่/เจลอาบน้ำ/แป้ง/น้ำยาซักผ้ากลิ่นแรง–มีแอลกอฮอล์–น้ำหอม อาจทำให้ผื่น–ตุ่มกำเริบ
- เสื้อผ้าไม่รัดแน่น ระบายอากาศได้ ผ้าใยธรรมชาติ ลดเหงื่อ และเสียดสี โดยเฉพาะในอากาศร้อนชื้น/ออกกำลังกาย
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้อย่างมีนัยสำคัญ ควรใช้ตั้งแต่เริ่มกิจกรรมจนเสร็จ และเปลี่ยนใหม่ทุกครั้ง
- ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ โดยเฉพาะผู้มีคู่นอนหลายคน/ใหม่ หรือมีอาการผิดปกติ การตรวจสม่ำเสมอช่วยพบเชื้อเร็ว รักษาได้ทัน
เสริมความคุ้มครองที่ควรพิจารณา
- วัคซีน HPV (ตามช่วงอายุ/ข้อบ่งชี้) ช่วยลดโอกาสหูดหงอนไก่ และมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับ HPV
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ตามนโยบาย/ประวัติการฉีด
- ดูแลปัจจัยเสี่ยง เช่น คุมเบาหวาน พักผ่อนเพียงพอ ลดความเครียด (ภูมิคุ้มกันที่ดีช่วยลดการกำเริบของเริม)
- หลีกเลี่ยงการเกา–บีบ เพราะทำให้ติดเชื้อซ้ำ และเกิดแผลเป็น
- ความสัมพันธ์ที่สื่อสารได้ ตกลงเรื่องการตรวจ/การป้องกันกับคู่ ลดความเสี่ยง และความเข้าใจผิด
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- โรคสังคัง อาการ การวินิจฉัย และแนวทางการรักษา
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นออนไลน์ เรื่องใกล้ตัวที่ป้องกันได้
ตุ่มขึ้นอวัยวะเพศ อาจเกิดจากสาเหตุที่ไม่รุนแรง เช่น ขนคุดหรือสิว แต่ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อันตราย เช่น เริม หูดหงอนไก่ หรือซิฟิลิส การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด และไม่เพิกเฉยต่อความผิดปกติ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อน และการแพร่เชื้อ หากพบตุ่มผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้อง
เอกสารอ้างอิง
- World Health Organization (WHO). Sexually transmitted infections (STIs) – Fact sheet. ภาพรวม STIs ทั่วโลก อาการ การป้องกัน และการรักษา. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/sexually-transmitted-infections-(stis) World Health Organization
- MedlinePlus (U.S. National Library of Medicine). Genital sores – female. ภาพรวมสาเหตุแผล/ตุ่มบริเวณอวัยวะเพศหญิงและอาการร่วม. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://medlineplus.gov/ency/article/003222.htm MedlinePlus
- MedlinePlus (U.S. National Library of Medicine). Genital sores – male. สาเหตุแผล/ตุ่มบริเวณอวัยวะเพศชาย แนวคิดการประเมินและการดูแล. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://medlineplus.gov/ency/article/003221.htm MedlinePlus
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. หูดหงอนไก่ (Condyloma acuminata). ข้อมูลสาเหตุ การติดต่อ ลักษณะอาการ และข้อควรระวัง. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=37 Department of Disease Control
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ชัวร์ก่อนชิด: รู้จักซิฟิลิสให้ทัน (เอกสารความรู้ประชาชน). สรุปอาการ การติดต่อ การป้องกัน และการรักษา. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.ddc.moph.go.th/uploads/publish/1714520250530065954.pdf Department of Disease Control



