ทำอย่างไร? หากถุงยางแตกขณะมีเพศสัมพันธ์
การใช้ถุงยางอนามัยในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเป็นวิธีการคุมกำเนิดอย่างหนึ่งสำหรับคู่รักที่ยังไม่พร้อมที่จะมีบุตร ในขณะเดียวกันหากคู่รักนั้นมีการใช้ถุงยางอนามัยที่ผิดวิธี ก็อาจเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหา เช่น ถุงยางแตก ถุงยางฉีกขาด ขณะมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ได้
สาเหตุหลักที่อาจทำให้เกิดถุงยางแตก
ถุงยางแตก ที่เกิดขึ้นได้ขณะทำกิจกรรมทางเพศร่วมกันถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก นอกเสียจากว่าจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่เผลอทำโดยไม่รู้ตัว หรือเพิกเฉยถึงข้อควรระวังการใช้ จึงอาจก่อให้เกิดถุงยางแตกขึ้นมาได้ ซึ่งเกิดจากสาเหตุหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสภาพถุงยางอนามัยที่ใช้ และปัจจัยอื่น ดังนี้
- การเลือกใช้ถุงยางอนามัยผิดขนาด เช่น ผู้ใช้เลือกถุงยางอนามัยที่มีขนาดเล็กเกินไป ส่งผลให้ไม่เหลือพื้นที่บริเวณปลายสุดของถุงยางเมื่อหลั่งอสุจิออกมา
 - การแกะบรรจุภัณฑ์ของถุงยางที่ผิดวิธี หรือใช้ของมีคม
 - ถุงยางขาด ถุงยางแตกเกิดขึ้นได้หากถูกฟันกัดหรือเล็บกรีดจนขาด
 - การใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุแล้ว คือ ถุงยางอนามัยที่หมดอายุหรือเก่ามากอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของถุงยาง ผู้ใช้ควรดูวันหมดอายุที่ระบุบนหีบห่อก่อนนำมาใช้
 - ผู้ใช้ไม่รู้วิธีใช้ถุงยาง หรือสวมใส่ถุงยางอย่างถูกต้อง
 - มีการเก็บรักษาถุงยางอนามัยที่ไม่เหมาะสม เช่น เก็บในที่ที่โดนแสงแดด หรือความร้อน ผู้ที่วางถุงยางอนามัยทิ้งไว้ในที่ที่มีแส งและอุณหภูมิร้อนจะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ ดังนั้น ไม่ควรเก็บถุงยางไว้ในที่ที่อับ และเกิดความร้อนได้ง่าย เช่น ช่องเก็บของในรถ หรือกระเป๋าเงิน เป็นต้น
 - ใช้ถุงยางอนามัยแบบไม่มีสารหล่อลื่น หรือสารหล่อลื่นไม่พอ การมีเพศสัมพันธ์โดยที่สารหล่อลื่นจากอวัยวะเพศน้อยเกินไปอาจส่งผลให้ถุงยางแตกได้ คู่รักที่ร่วมเพศทางทวารหนัก หรือช่องคลอดควรใช้สารหล่อลื่นอื่นช่วย โดยเลือกสารหล่อลื่นชนิดละลายน้ำแทนสารหล่อลื่นชนิดน้ำมัน
 - ใช้สารหล่อลื่นแบบน้ำมัน สารหล่อลื่นชนิดน้ำมันจะทำให้ยางของถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ จนทำให้ถุงยางแตกได้ง่าย โดยสารหล่อลื่นที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสมมีหลายอย่าง เช่น น้ำมันทาผิวเด็ก หรือน้ำมันพืช เป็นต้น
 - สอดใส่ลำบาก หากสอดใส่ขณะร่วมเพศลำบาก ควรใช้ถุงยางอนามัยคุณภาพดีมากหรือเพิ่มสารหล่อลื่น เพื่อลดการเสียดสีจนทำให้ถุงยางแตก
 
ความเสี่ยงที่เกิดจากถุงยางแตก
หากเกิดถุงยากแตก หรือเลื่อนหลุดออกมาขณะทำกิจกรรมทางเพศ คู่รักควรหยุดการร่วมเพศทันที ซึ่งถุงยางแตกก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายประการ ดังนี้
- ความเสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ หากเกิดถุงยางแตกขณะมีเพศสัมพันธ์ ทำให้คู่รักอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเชื้อเอชไอวีได้ ฉะนั้นหากเกิดถุงยางแตก ก็ควรพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการตรวจ และวินิจฉัยโรคต่อไป
 - ความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ เป็นปัญหาที่คู่รักหลายคู่กังวลเมื่อถุงยางแตกขณะร่วมเพศ หากพบว่าถุงยางแตก เบื้องต้นฝ่ายชายอาจหลั่งนอก เพื่อป้องกันการหลั่งอสุจิเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ของฝ่ายหญิง อย่างไรก็ตาม
 
ถุงยางแตกขณะมีเพศสัมพันธ์ คุณควรทำอย่างไร?
เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอย่างถุงยางแตก หรือถุงยางฉีกขาด ในระหว่างที่กำลังมีเพศสัมพันธ์นั้น สิ่งที่เราควรจะต้องปฎิบัติ ก็คือ วิธีการจัดการปัญหาที่แตกต่างกันไปตามลักษณะการร่วมเพศ มีดังนี้
สำหรับการร่วมเพศทางช่องคลอด
- ฝ่ายหญิงควรรีบเข้าห้องน้ำ และปัสสาวะออกมา เพื่อขับตัวอสุจิที่อาจอยู่ใกล้ท่อปัสสาวะ โดยนั่งยอง ๆ และขมิบกล้ามเนื้อช่องคลอดขณะที่นั่งปัสสาวะ
 - ห้ามฉีดน้ำ หรือล้างข้างในช่องคลอด เนื่องจากหากยิ่งฉีด ตัวอสุจิ หรือเชื้อแบคทีเรียจะยิ่งเข้าไปในช่องคลอดมากขึ้น ส่งผลให้เสี่ยงตั้งครรภ์หรือได้รับเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้ การฉีดน้ำเข้าไปในช่องคลอดยังไปล้างแบคทีเรียชนิดดีที่ช่วยป้องกันการเกิดภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
 - ฝ่ายหญิงควรทำความสะอาดอวัยวะเพศตนเอง โดยราดน้ำอุ่นที่อวัยวะเพศขณะที่นั่งยอง ๆ บนโถสุขภัณฑ์
 - ฝ่ายหญิงอาจต้องรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ในกรณีที่ไม่ได้คุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น โดยรับประทานยาภายใน 72 ชั่วโมงแรกหลังถุงยางแตก เนื่องจากอาจเสี่ยงตั้งครรภ์ได้
 - ควรเข้ารับการตรวจสุขภาวะทางเพศภายใน 14 วันหลังถุงยางแตก หรือเร็วกว่านั้นในกรณีที่เกิดอาการอื่น
 - ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี
 
สำหรับการร่วมเพศทางทวารหนัก
- ควรถ่ายหนักเพื่อกำจัดอสุจิที่อาจตกค้างออกมาให้มากที่สุด
 - ไม่ควรฉีดน้ำหรือล้างข้างในช่องทวาร เนื่องจากแรงฉีดน้ำอาจทำให้เกิดน้ำในทวารหนัก ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และเชื้อเอชไอวีมากขึ้น
 - ควรเข้ารับการตรวจสุขภาวะทางเพศและตรวจทวารหนักภายใน 14 วันหลังถุงยางแตก หรือเร็วกว่านั้นในกรณีที่เกิดอาการอื่น ๆ
 - ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อเอชไอวี
 
สำหรับการทำออรัลเซ็กส์
- ควรคายหรือกลืนอสุจิทันที ไม่อมอสุจิไว้ในปาก
 - บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด
 - ไม่ควรแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังถุงยางแตกและอสุจิเข้าปาก
 - ควรเข้ารับการตรวจสุขภาวะเพศและตรวจคอภายใน 14 วันหลังถุงยางแตก หรือเร็วกว่านั้นในกรณีที่เกิดอาการอื่น ๆ
 
การป้องกันถุงยางแตกทำได้อย่างไร
ปัญหาถุงยางแตกป้องกันได้ โดยต้องใส่ใจเรื่องการเก็บรักษาและวิธีใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยงถุงยางแตก ดังนี้
- เลือกใช้ถุงยางอนามัยให้เหมาะสมกับขนาดอวัยวะเพศของตนเอง โดยซื้อถุงยางที่มีขนาดเหมาะสมกับอวัยวะเพศในช่วงแข็งตัว
 - ห้ามแกะถุงยางอนามัยออกมาด้วยของมีคม เช่น กรรไกร หรือกัดด้วยฟัน รวมทั้งสวมถุงยางอนามัย อย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการเกิดรอยรั่วหรือขาดก่อนนำมาใช้ได้
 - ตรวจดูสภาพถุงยางอนามัยก่อนนำมาใช้ทุกครั้ง หากพบว่ามีรอยขาดหรือรอยรั่ว ไม่ควรนำมาใช้
 - ไม่ใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุ โดยดูวันหมดอายุที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์ก่อนนำมาใช้ทุกครั้ง เนื่องจากถุงยางอนามัยจะเสื่อมสภาพเมื่อเริ่มเก่า
 - ควรใช้ถุงยางอนามัยเพียงครั้งเดียว ไม่นำกลับมาใช้ซ้ำ
 - ควรสวมถุงยางอนามัยเพียงชั้นเดียว หากสวมถุงยางอนามัยมากกว่านั้น อาจก่อให้เกิดการเสียดสีจนถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ โดยไม่รู้ตัว
 - ควรสวมถุงยางอนามัยให้ดีก่อนร่วมเพศ โดยใช้มือหนึ่งจับปลายถุงยาง และใช้มืออีกข้างค่อย ๆ รูดม้วนถุงยางจนถึงฐานอวัยวะเพศชาย ควรให้ถุงยางคลุมอวัยวะเพศพอดีและไล่ฟองอากาศออกไปจนหมด
 - ควรเก็บถุงยางอนามัยให้พ้นจากที่ที่มีแสงส่องถึง หรือมีความร้อน เนื่องจากจะทำให้ถุงยางแห้งลงและเสื่อมสภาพ ควรเก็บรักษาถุงยางอนามัยในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ควรเก็บไว้ในสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 37 หรือน้อยกว่า 3 องศาเซลเซียส
 - ไม่ควรใช้โลชั่น น้ำมัน หรือสารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน แต่เลือกใช้สารหล่อลื่นชนิดน้ำเท่านั้น
 - ห้ามพกถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าเงิน เนื่องจากอาจทำให้ถุงยางพับงอจนรั่วได้
 - หากพบว่าถุงยางแตกหรือขาดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ควรหยุดกิจกรรมทางเพศทันทีและเปลี่ยนถุงยางอนามัยชิ้นใหม่
 
ขอบคุณข้อมูลจาก : pobpad ,sanook
		


